ย้อนรอยประวัติศาสตร์ของประเทศไทยในกีฬาซีเกมส์



การแข่งขันกีฬาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ซีเกมส์) ถือเป็นการแสดงความกล้าหาญด้านกีฬาและการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมนับตั้งแต่ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2502 ในบรรดาประเทศที่เข้าร่วม ประเทศไทยมีความโดดเด่นในฐานะมหาอำนาจมาโดยตลอด โดยทิ้งร่องรอยประวัติศาสตร์ของการแข่งขันไว้อย่างลบไม่ออก จากจุดเริ่มต้นเล็กๆ จนถึงปัจจุบัน การเดินทางของประเทศไทยในซีเกมส์เป็นเรื่องราวของความมุ่งมั่น ความยืดหยุ่น และความเป็นเลิศด้านกีฬา

ช่วงปีแรก ๆ

การจู่โจมของประเทศไทยในซีเกมส์เริ่มขึ้นในปี พ.ศ. 2502 เมื่อการแข่งขันครั้งแรกเกิดขึ้นในกรุงเทพฯ ในฐานะประเทศเจ้าภาพ ประเทศไทยได้วางรากฐานสำหรับความสำเร็จในอนาคตด้วยการคว้าเหรียญรางวัลอันน่าประทับใจในสาขาวิชาต่างๆ ความสำเร็จในช่วงแรกนี้ทำให้ประเทศไทยก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำในวงการกีฬาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ตลอดทศวรรษ

ในทศวรรษต่อๆ มา ประเทศไทยยังคงรักษาความเป็นผู้นำในซีเกมส์อย่างต่อเนื่อง โดยได้รับการจัดอันดับให้เป็นหนึ่งในประเทศชั้นนำในด้านจำนวนเหรียญรางวัลอย่างต่อเนื่อง นักกีฬาของประเทศได้แสดงความสามารถของตนในกีฬาประเภทต่างๆ มากมาย รวมถึงจุดแข็งแบบดั้งเดิม เช่น กรีฑา การชกมวย และยกน้ำหนัก ตลอดจนกีฬาใหม่ๆ เช่น แบดมินตัน และเซปักตะกร้อ

นักกีฬาของประเทศไทยได้กลายเป็นชื่อที่ทุกคนรู้จัก และได้รับความเคารพนับถือจากความทุ่มเทและการแสดงอันยอดเยี่ยมบนเวทีระดับภูมิภาค ซีเกมส์เป็นเวทีสำหรับนักกีฬาเหล่านี้ที่ไม่เพียงแต่แสดงทักษะของพวกเขาเท่านั้น แต่ยังส่งเสริมความรู้สึกของความสามัคคีและความสนิทสนมกันในหมู่ประเทศที่เข้าร่วม

ข้อได้เปรียบของประเทศเจ้าภาพ

ความสำเร็จของประเทศไทยในซีเกมส์มักจะได้รับการขยายเมื่อประเทศไทยได้เป็นเจ้าภาพ ความได้เปรียบในสนามเหย้าบวกกับการสนับสนุนจากแฟนๆ ในพื้นที่ ส่งผลให้นักกีฬาไทยก้าวไปอีกขั้น ความมุ่งมั่นของประเทศในการเป็นเจ้าภาพการแข่งขันกีฬาระดับโลกไม่เพียงแต่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของตนเองเท่านั้น แต่ยังช่วยยกระดับมาตรฐานโดยรวมของซีเกมส์อีกด้วย

ช่วงเวลาอันโดดเด่น

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ประเทศไทยได้สร้างช่วงเวลาสำคัญมากมายในซีเกมส์ ตั้งแต่การทำลายสถิติว่ายน้ำและกรีฑาไปจนถึงการแสดงทักษะอันไร้ที่ติในศิลปะการต่อสู้แบบดั้งเดิม นักกีฬาไทยได้สร้างประวัติศาสตร์แห่งการแข่งขันอย่างไม่มีวันลบเลือน ช่วงเวลาเหล่านี้ไม่เพียงแต่มีส่วนช่วยในประวัติศาสตร์กีฬาซีเกมส์เท่านั้น แต่ยังเป็นแรงบันดาลใจให้กับนักกีฬารุ่นต่อๆ ไปอีกด้วย

ความท้าทายและชัยชนะ

การเดินทางของประเทศไทยในซีเกมส์ไม่เคยปราศจากความท้าทาย ประเทศเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงจากประเทศอื่นๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และภูมิทัศน์ด้านกีฬาที่เปลี่ยนแปลงไปจำเป็นต้องอาศัยการปรับตัวและนวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง แม้จะมีความท้าทายเหล่านี้ แต่ความมุ่งมั่นของประเทศไทยในด้านความเป็นเลิศด้านกีฬาและการพัฒนาด้านกีฬาทำให้ประเทศสามารถเอาชนะอุปสรรคและรักษาจุดยืนในฐานะโรงไฟฟ้าซีเกมส์ได้

มองไปข้างหน้า

ในขณะที่ประเทศไทยยังคงสร้างมรดกทางกีฬาอันยาวนาน อนาคตของประเทศในซีเกมส์ก็ดูสดใส ด้วยการมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาระดับรากหญ้า สิ่งอำนวยความสะดวกการฝึกซ้อมที่ล้ำสมัย และจำนวนนักกีฬาที่มีความสามารถ ประเทศไทยจึงพร้อมที่จะยังคงเป็นกำลังสำคัญในเวทีกีฬาซีเกมส์

บทสรุป

ประวัติศาสตร์ของไทยในการแข่งขันกีฬาซีเกมส์เป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความมุ่งมั่นของประเทศในด้านน้ำใจนักกีฬา ความเป็นเลิศ และความสามัคคีในระดับภูมิภาค จากความสำเร็จในช่วงแรกจนถึงปัจจุบัน ประเทศไทยมีบทบาทสำคัญในการกำหนดรูปแบบการเล่าเรื่องของซีเกมส์ ในขณะที่เกมมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง นักกีฬาของไทยจะยังคงดึงดูดผู้ชมและจารึกชื่อของพวกเขาไว้ในบันทึกประวัติศาสตร์กีฬาซีเกมส์อย่างไม่ต้องสงสัย

ท่าเรือเสริมแกร่งหลังบ้าน ปาดหน้าคว้าปราการหลังฝาแฝดเข้าร่วมทีม



เมื่อหันมาดูความเคลื่อนไหวของตลาดนักเตะไทยลีกแล้วละก็ ข่าวใหญ่ในช่วงนี้คงหนีไม่พ้นการคว้าตัวปราการหลังฝาแฝดอนาคตไกลทีมชาติไทย แบบแพ็คคู่ของ “สิงห์เจ้าท่า” การท่าเรือเอฟซี ที่จัดการปิดดีลคว้าคู่แฝด “อักษรศรี” ทิตาธร-ทิตาวีร์ มาร่วมทีมได้สำเร็จปาดหน้าทีมใหญ่ร่วมลีกที่ได้แต่มองตามด้วยความเสียดาย

สำหรับคู่แฝดทั้งสองคนแจ้งเกิดอย่างเต็มตัวกับทีมชาติไทยในช่วงเวลาที่ผ่านมา จนทำให้เป็นที่จับตามองของทีมใหญ่ในไทยลีก โดยเฉพาะบุรีรัมย์และเมืองทองที่ปิดศึกนอกสนามกันแย่งตัวทั้งคู่มาก่อน แต่ไม่สามารถยื่นข้อเสนอเอาชนะใจต้นสังกัดเดิมอย่างโปลิสเทโรได้สำเร็จ ก่อนที่จะเป็นทางสิงห์เจ้าท่าที่ยอมทุ่มเงินมหาศาล ว่ากันว่าท่าเรือยอมจ่ายให้เทโรถึง 35 ล้านบาทเลยทีเดียวสำหรับค่าตัวของทั้งคู่

ซึ่งเป็นจำนวนเงินที่ทางโปลิสเทโรเห็นว่ามากพอที่จะให้พวกเขาหาตัวแทนของทั้งคู่หากมีความจำเป็น แต่สำหรับแผนรับมือในช่วงแรกทาง “โค้ชอ้น” รังสรรค์ วิวัฒน์ชัยโชค ก็ได้เตรียมไว้แล้วด้วยการหันกลับไปใช้แบ็คขวาตัวเก๋าอย่าง เอกชัย สำเร ส่วนทางซ้ายก็มีณัฐพล สุขไชยกับนพพล ปิตะฝ่าย คอยสลับกันลงเล่น ส่วนแผนในระยะยาวก็ยังมีแผนปลุกปั้นคู่แฝดคู่ใหม่ อย่างอนุศักดิ์และอนุสรณ์ ใจเพชร ดาวรุ่งดีกรีทีมชาติชุดไม่เกิน 19 ปี ขึ้นมาแทนที่อีกด้วย ดังนั้นเม็ดเงินสูงถึง 35 ล้านบาทจึงทำให้โปลิสเทโรยอมปล่อยคู่แฝดอนาคตไกลออกไปอย่างไม่ลังเล

สำหรับทางการท่าเรือเองการย้ายเข้ามาของทั้งคู่ แน่นอนว่ามันจะช่วยเกมรับของท่าเรือแข็งแกร่งขึ้นไปอีก เมื่อมีแฝดดาวรุ่งเข้ามาเสริมกับบรรดาผู้เล่นแนวรับชื่อดังที่พวกเขามี ไม่ว่าจะเป็นดาบิด โรเซล่า, ธนบูรณ์ เกษารัตน์, เควิน ดีรมรัมย์ รวมไปถึงอดิศร พรมรักษ์ รุ่นพี่ทีมชาติที่พึ่งจะย้ายเข้ามาร่วมทีมอีกคนเช่นกัน ซึ่งดูจากรายชื่อของผู้เล่นแนวรับที่มีแล้วแนวรุกของคู่แข่งต้องมีขยาดกันบ้างเลยล่ะ ซึ่งต้องดูว่าทาง “เซอร์เด็จ” จเด็จ มีลาภเฮดโค้ชของทีมว่าจะใช้ประโยชน์จากเหล่าซูเปอร์สตาร์เหล่านี้อย่างไร แต่ที่แน่ ๆ คือทันทีพวกเขาดึงตัว ทิตาธร-ทิตาวีร์เข้ามาร่วมทีม ในแง่ของมูลค่าทางการตลาดแล้ว มันทำให้การท่าเรือถูกยกให้เป็นทีมที่มีผู้เล่นแนวรับมูลค่าสูงที่สุดในไทยลีก จากการประเมินของทรานสเฟอร์มาร์เก็ต ที่ทำการประเมินจากมูลค่าทางการตลาดของผู้เล่นที่มีสูงถึง 78.04 ล้านบาท ถึงแม้ว่าทรานสเฟอร์มาเก็ตจะประเมินค่าตัวของคู่แฝดไว้ต่ำกว่าราคาซื้อจริงหลายเท่าแล้วก็ตาม

ถ้าดูในแง่ของมูลค่าแล้วอาจจะมองว่าท่าเรือยอมจ่ายเงินสูงเกินค่าตัวที่ประเมินไปมาก แต่หากดูจากคุณภาพฝีเท้าของคู่แฝด “อักษรศรี” บวกกับการที่ทั้งคู่มีอายุเพียง 22 ปีเท่านั้น ทางมาดามแป้งและทีมงานท่าเรือคงจะเล็งเห็นแล้วว่าในอนาคตทั้งสองคนนี้ จะพัฒนาและยกระดับตัวเองขึ้นไปสูงกว่านี้ ทั้งในด้านของฝีเท้าและประสบการณ์ซึ่งสิ่งเหล่านั้นจะทำให้มูลค่าทางการตลาดของพวกเขาขึ้นไปอยู่ระดับเดียวกับรุ่นพี่ และการพัฒนาของทั้งคู่จะเป็นประโยชน์อย่างมากสำหรับทีมสิงห์เจ้าท่า รวมไปถึงอนาคตของฟุตบอลทีมชาติไทย ตอนนี้แฟนบอลของสิงห์เจ้าท่าคงอยากจะเห็นทั้งคู่ลงสนามในสีเสื้อของทีม จนแทบจะอดใจไม่ไหวกันแล้วอย่างแน่นอน

ความมุ่งมั่นของอังกฤษ สู่การทลายบัลลังก์ของนิวซีแลนด์ ออลแบล็กส์



ถึงแม้ว่าสุดท้ายทีมชาติอังกฤษจะไปไม่ถึงฝั่งฝันในการคว้าแชมป์โลกมาครองได้สำเร็จ เมื่อพวกเขาพ่ายแพ้ให้แก่แอฟริกาใต้ในนัดชิงชนะเลิศ แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้พวกเขาเป็นที่กล่าวถึงอย่างมากในทัวร์นาเมนท์ชิงแชมป์โลกครั้งที่ผ่านมาก็คือ การที่พวกเขาสามารถโค่นทีมอันดับหนึ่งของโลก อย่างนิวซีแลนด์ ออลแบล็กส์ได้อย่างสวยงามในรอบรองชนะเลิศนั่นเอง ซึ่งมันเป็นชัยชนะที่มีความหมายอย่างมากสำหรับพวกเขาเอง

อย่างที่รู้กันว่าในวงการรักบี้โลกนั้น ทีมแกร่งอย่างนิวซีแลนด์ ออลแบล็กส์นั้นครองความยิ่งใหญ่เป็นอันดับหนึ่งของโลกมาอย่างยาวนานนับสิบปี ดังนั้นเมื่อคุณอยู่บนจุดที่สูงที่สุดบรรดาคู่แข่งต่างก็หมายมั่นปั้นมือว่าจะต้องดึงคุณลงมาจากจุดนั้นให้ได้ เช่นเดียวกับทีมชาติอังกฤษที่มองว่าเป้าหมายในการแข่งขัน รักบี้ชิงแชมป์โลกในครั้งนี้นั้น นอกจากการคว้าแชมป์แล้วสิ่งสำคัญอย่างหนึ่งที่พวกเขาจะต้องทำให้ได้ก็คือ การโค่นบัลลังก์ของนิวซีแลนด์ ออลแบล็กส์นั่นเอง ซึ่งเฮดโค้ชของทีมอังกฤษอย่างเอ็ดดี้ โจนส์ ได้ออกมาบอกว่าพวกเขาใช้เวลาในการวางแผนเพื่อโค่นออลแบล็กส์ยาวนานถึงสองปีครึ่งเลยทีเดียว เพื่อที่จะหาวิธีรับมือกับเกมรุกที่ลื่นไหลและรวดเร็วของพวกเขา และในที่สุดโจนส์ก็ค้นพบวิธีหยุดพลังการบุกของออลแบล็กส์ ด้วยการเพิ่มความดุดันและรวดเร็วให้กับเกมรับของพวกเขา เพื่อช่วงชิงพื้นที่และเวลามาจากออลแบล็กส์ให้ได้มากที่สุด และพวกเขาก็ทำสำเร็จด้วยการจบเกมด้วยผลการแข่งขันที่ดีกว่าด้วยสกอร์ 19-7 จุด

นอกจากความมุ่งมั่นของทางอังกฤษแล้ว สิ่งหนึ่งที่เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ผลการแข่งขันออกมาแบบนี้ ว่ากันว่ามันเกิดจากความประมาทของนิวซีแลนด์เอง ซึ่งเกิดจากการมองข้ามฝีมือทีมรักบี้จากฝั่งยุโรป เพราะพวกเขามีลีกอาชีพที่แข่งแกร่งกว่า รวมไปถึงผลงานบนเวทีโลกของฝั่งยุโรปก็มีเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้นที่พวกเขาได้แชมป์ ก็คืออังกฤษในปี 2003 นั่นเอง ดังนั้นการพัฒนาการเล่นของนิวซีแลนด์จึงเหมือนเป็นการพัฒนาเพื่อแข่งขันในลีกของพวกเขาเอง โดยไม่มีการศึกษาพัฒนาการของคู่แข่งอย่างอังกฤษ ถ้าเปรียบกับมวยนิวซีแลนด์คือยอดมวยชื่อดัง ที่ฝึกซ้อมและขึ้นชกและได้รับชัยชนะมายาวนาน และไม่ได้สนใจอะไรนอกจากคู่แข่งบนเวที ในขณะที่อังกฤษกลับนั่งดูถ่ายทอดสดทุกการชกของพวกเขา และหาวิธีแก้ทางมวยมาตั้งแต่บ้านแล้ว โดยที่พวกเขาไม่รู้ตัวเลยแม้แต่นิดเดียว

แต่สิ่งหนึ่งนอกจากเวลาสองปีครึ่งที่ใช้เตรียมทีมแล้ว สิ่งที่ทางฝั่งอังกฤษต้องใช้เพื่อจัดการกับนิวซีแลนด์ก็คือ พลังกำลังทั้งหมดที่พวกเขามีนั่นเอง ซึ่งว่ากันว่านี่คือสาเหตุที่ทำให้พวกเขาโดนสปริงบอกส์อัดซะยับเยินในนัดชิงชนะเลิศ เพราะพวกเขานั้นหมดพลังไปตั้งแต่การหยุดออลแบล็กส์แล้วนั่นเอง และการหยุดอันดับหนึ่งของโลก แล้วมาเจอกับอดีตแชมป์โลกสองสมัยต่อ มันก็ดูเหมือนเป็นงานยากเกินกว่าที่พวกเขาจะผ่านมันไปได้ แต่อย่างน้อย ๆ ในรายการนี้พวกเขาก็ได้สร้างผลงานระดับมาสเตอร์พีชได้สำเร็จ และชัยชนะนั้นของพวกเขาจะเพิ่มความมั่นใจให้กับพวกเขาในครั้งต่อไป แต่อีกทางหนึ่งก็จะคือพวกเขาจะต้องเจองานยากอย่างแน่นอน เพราะชัยชนะครั้งนี้จะทำให้บรรดาคู่แข่งจับตามองเขามากขึ้น และออลแบล็กส์เองก็คงไม่ประมาทเหมือนเดิมอีกแล้วนั่นเอง

จะดีแค่ไหนถ้าไทยสมหวังกับการเป็นเจ้าภาพ วอลเลย์บอลชิงแชมป์เอเชีย 2021



นับว่าเป็นข่าวที่สร้างความตื่นเต้นให้กับแฟนวอลเลย์บอลชาวไทยอย่างมาก เมื่อมีข่าวออกมาว่าประเทศไทยเตรียมที่จะเสนอตัวเป็นเจ้าภาพการแข่งขัน วอลเลย์บอลหญิงรายการชิงแชมป์เอเชีย 2021 (AVC 2021) หลังห่างหายจากการเป็นเจ้าภาพมา 8 ปี โดยการรับหน้าเสื่อเป็นเจ้าภาพในรายการนี้ครั้งล่าสุดของไทย ต้องย้อนกลับไปเมื่อปี 2013 ที่จังหวัดนครราชสีมาเลยทีเดียว

การเสนอตัวครั้งนี้ประเทศไทยเรายังคงมีคู่แข่งอีกหนึ่งประเทศคือจีน แต่ก็ยังถือว่าไทยมีโอกาสมากกว่าอยู่เล็กน้อย เนื่องจากไทยควรจะได้สิทธิ์ตั้งแต่ปีที่แล้วแต่ต้องยอมยกให้เกาหลีใต้ไป เพื่อหลีกทางให้อีกรายการสำคัญก็คือการแข่งขันโอลิมปิกเกมรอบคัดเลือกรอบสุดท้ายนั่นเอง ดังนั้นภาษีของประเทศไทยเราจึงดูมีข้อได้เปรียบอยู่เล็กน้อย แล้วถ้าหากว่าการเสนอตัวเป็นเจ้าภาพของไทยครั้งนี้ประสบความสำเร็จ จะเป็นผลดีอย่างมากต่อประเทศไทยเราในหลายด้านไม่ว่าจะเป็น

  • ทีมชาติไทยมักจะทำได้ดีกับการเล่นในบ้าน การเล่นต่อหน้าเสียงเชียร์จำนวนมากมีผลอย่างมากต่อสภาพจิตใจนักกีฬาสาวไทย และครั้งล่าสุดที่นครราชสีมาพวกเธอก็สามารถก้าวขึ้นไปคว้าตำแหน่งแชมป์มาครองได้สำเร็จ
  • ปลุกกระแสวอลเลย์บอล ต้องยอมรับว่ากระแสของวงการวอลเลย์บอลในช่วงนี้ค่อนข้างที่จะซบเซาเหงาหงอยลงไปพอสมควร นับตั้งแต่พลาดการคว้าตั๋วโอลิมปิกแล้วมาถูกซ้ำเติมด้วยวิกฤตการโควิด-19 ที่กระทบเป็นวงกว้างในทุกกิจกรรม ทำให้วอลเลย์บอลขาดช่วงที่จะกลับมาสร้างสีสันให้แฟน ๆ ได้ปรับอารมณ์ และเราจะเห็นได้ว่าทุกครั้งที่ประเทศไทยได้จัดการแข่งขันวอลเลย์บอลทีไร แฟนกีฬาชาวไทยล้นสนามทุกครั้ง ถ้าหากได้จัด AVC 2021 ความหงอยเหงาของวงการวอลเลย์บอลบ้านเรา จะกลับมาครึกครื้นเหมือนเดิมแน่
  • กระตุ้นพัฒนาการในวงการวอลเลย์บอลไทย อย่างที่แฟนวอลเลย์บอลไทยรู้กันว่าทีมชาติไทยเรานั้น กำลังก้าวเข้าสู่ช่วงการถ่ายเลือดใหม่ของทีม ซึ่งการเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันครั้งนี้จะเป็นโอกาสที่จะทำให้เยาวชนวอลเลย์บอลไทย มีโอกาสได้ชมการแข่งขันรายการใหญ่อย่างใกล้ชิด ซึ่งจะกระตุ้นให้เกิดการพัฒนาผู้เล่นสายเลือดใหม่ได้อย่างดี
  • ฟื้นฟูเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวหลังวิกฤตโรคระบาด เราจะเห็นว่าช่วงที่เกิดการระบาดของโควิด-19 เศรษฐกิจประเทศก็ซบเซาลงอย่างมาก ซึ่งนั่นก็รวมถึงธุรกิจท่องเที่ยวด้วย และการเป็นเจ้าภาพการแข่งขันรายการใหญ่ได้ต้อนรับบรรดายอดทีมระดับทวีป ที่มีแฟนกีฬาหนาแน่นคอยติดตามเชียร์ และเม็ดเงินจากนักกีฬาและแฟนที่ตามเชียร์เหล่านี้ จะทำให้ธุรกิจการท่องเที่ยวของเราได้รับผลดีอย่างมากเลยทีเดียว

แฟนวอลเลย์บอลชาวไทยคงจะต้องช่วยกันลุ้น ให้ประเทศไทยเราได้รับการโหวตได้เป็นเจ้าภาพวอลเลย์บอลรายการนี้ เพราะสิ่งที่จะตามมานั้นมันมีประโยชน์อย่างมากเลยต่อประเทศไทย และที่สำคัญแฟนวอลเลย์บอลอย่างเรา ๆ อยากจะไปปลดปล่อยอารมณ์กันให้สุดเหวี่ยงในสนามกันแล้ว หลังเก็บกดจากการกักตัวกันมานาน

หญิงแกร่งทีมชาติไทย ยังครองความยิ่งใหญ่เหนือคู่แข่งในซีเกมส์



ยังคงทำผลงานได้อย่างดีเยี่ยมสำหรับทัพนักกีฬารักบี้เจ็ดคนหญิงไทย ในการแข่งขันกีฬาแห่งภูมิภาคอาเซียน หรือซีเกมส์ 2019 ที่ฟิลิปปินส์ เมื่อพวกเธอสามารถป้องกันแชมป์คว้าเหรียญทองมาได้อีกหนึ่งสมัย ตอกย้ำว่าพวกเธอนี่แหละคือหมายเลขหนึ่งแห่งภูมิภาคเอเชียตะวัน ตะวันออกเสียงใต้ ในกีฬาประเภทนี้

สำหรับกีฬารักบี้ฟุตบอลในภูมิภาคของเรายังถือว่าไม่ได้รับความนิยมมากนัก แต่ก็มีการบรรจุเข้าเป็นหนึ่งในชนิดกีฬาที่ใช้ในการแข่งขันรับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรือซีเกมส์โดยมีการบรรจุเข้าสู่การแข่งขันครั้งแรกในปี 1995 ที่จังหวัดเชียงใหม่เป็นเจ้าภาพ หลังจากนั้นก็มีการจัดบ้างไม่จัดบ้างตามแต่เจ้าภาพจะเห็นสมควร ก่อนที่จะปรับเปลี่ยนมาเป็นการแข่งขันแบบทีมเจ็ดคนในปัจจุบัน ซึ่งทัพนักกีฬาทีมชาติไทยก็มีผลงานค่อนข้างดี อยู่ในระดับหัวแถวของภูมิภาคมาตลอดโดยเฉพาะในการแข่งขันในประเภทหญิงที่สาวแกร่งของไทยเรา สามารถคว้าเหรียญทองมาครองได้อย่างต่อเนื่อง

และในการแข่งขันซีเกมส์ครั้งล่าสุดฟิลิปปินส์ 2019 ที่ผ่านมาก็เช่นกัน ทัพนักกีฬาสาวไทยลงทำการแข่งขันในฐานะเต็งหนึ่งของรายการ เมื่อพวกเธอมาพร้อมกับผลงานเหรียญทองสามสมัยซ้อนไว้ข่มขวัญคู่แข่งตั้งแต่ก่อนลงสนาม โดยคู่แข่งที่ร่วมการแข่งขันมีทั้งหมด 6 ประเทศคือ ไทย, ฟิลิปปินส์(เจ้าภาพ), มาเลเซีย, อินโดนีเซีย, สิงคโปร์และลาว ซึ่งในการแข่งขันรอบแรกที่แข่งแบบพบกันหมด นักกีฬาสาวไทยก็สามารถเก็บชัยชนะมาได้ทั้งหมดห้าเกมรวด กวาดคะแนนมาถึง 186 จุดและเสียให้คู่แข่งไปเพียงแค่ 12 จุดเท่านั้นเอง คว้าสิทธิ์การชิงเหรียญทองกับทีมอันดับสองของตารางอย่างทีมชาติฟิลิปปินส์ และในการแข่งขันรอบชิงเหรียญทองพวกเธอก็จัดการทุบคู่แข่งไปแบบไม่ไว้หน้าชาติเจ้าภาพ เอาชนะไปได้ด้วยสกอร์ 17-7 จุด คว้าเหรียญทองมาครองเป็นสมัยที่สี่ติดต่อกันให้กับประเทศไทยได้อย่างยิ่งใหญ่ ครองความเป็นจ้าวอาเซียนและอันดับที่ 4 ของทวีปเอเชียได้อย่างสมศักดิ์ศรี

ไม่เพียงแค่ทีมหญิงเท่านั้นที่คว้าเหรียญมาได้สำเร็จ ในประเภททีมชายเจ็ดคนนั้นทีมชาติไทยก็จบรอบแข่งพบกันหมดในอันดับที่ 4 ของตาราง ได้สิทธิ์เข้าไปชิงเหรียญทองแดงกับทีมชาติสิงคโปร์ และพวกเขาก็สามารถเอาชนะทีมชาติสิงคโปร์มาได้  12-5 จุดคว้าเหรียญทองแดงมาครองได้เป็นสมัยที่สองติดต่อกัน เพิ่มเหรียญให้กับทัพนักกีฬาไทยได้อีกหนึ่งเหรียญเช่นกัน

จากการคว้าเหรียญทองซีเกมส์ครั้งที่ผ่านมาของทัพนักกีฬารักบี้ฟุตบอลหญิงไทย สิ่งหนึ่งที่แฟนกีฬาได้เห็นก็คือนักกีฬาชุดนี้ เป็นชุดที่ผสมผสานระหว่างนักกีฬาตัวเก๋ากับดาวรุ่งได้อย่างลงตัว ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างมากในการพัฒนาต่อเนื่องของวงการรักบี้ไทย ที่จะยกระดับทีมขึ้นไปให้สูงกว่าระดับอาเซียนในอนาคต รวมไปถึงความสำเร็จนี้ยังจะช่วยดึงดูดความสนใจให้กับนักกีฬาเยาวชนหน้าใหม่ ๆ ให้หันมาสนใจในกีฬารักบี้มากขึ้น เพื่อสานต่อความสำเร็จให้กับนักกีฬาไทยรุ่นต่อ ๆ ไป

12 นักบาส ที่ถูกโหวตติดอันดับผู้เล่นที่ดีที่สุดตลอดการ ทั้งที่ยังโลดแล่นอยู่บนคอร์ท



สำหรับการแข่งขันบาสเกตบอลที่เรียกได้ว่ายิ่งใหญ่ที่สุดในโลก คงจะไม่มีใครเถียงว่ารายการนั้นจะต้องเป็นศึกบาสเกตบอลเอ็นบีเอของสหรัฐอเมริกาอย่างแน่นอน นอกจากความยิ่งใหญ่และความมันของบาสเกตบอลที่ถูกถ่ายทอดสู่สายตาผู้คนทั่วโลกแล้ว ตลออดระยะเวลากว่า 7 ทศวรรษของเอ็นบีเอ ยังเต็มไปด้วยสุดยอดนักบาสของโลกคนแล้วคนเล่าที่ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันขึ้นมาสร้างความยิ่งใหญ่ ในยุคสมัยของตัวเอง

และหนึ่งในเรื่องที่แฟนบาสทั่วโลกต่างถกเถียงกันมาตลอดก็คือนักบาสคนไหนเก่งที่สุด คนไหนเก่งกว่ากันซึ่งมุมมองของแต่ละคนก็แตกต่างกันออกไป ตามแต่ความรู้สึกส่วนตัวแล้วแต่ทีมที่เชียร์หรือว่าสไตล์การเล่นที่ชื่นชอบ ดังนั้นเมื่อไม่นานมานี้ทางอีเอสพีเอ็นสื่อกีฬายักษ์ใหญ่ของโลก จึงได้รวบรวมความเห็นจากผู้เชี่ยวชาญในวงการบาสเกตบอล ทำการจัดอันดับสุดยอดนักบาสที่ดีที่สุดตลอดการ 74 อันดับขึ้นมา ซึ่งมีรายชื่อสุดยอดนักบาสต่างยุคต่างสมัยอยู่ในรายชื่อเต็มไปหมด โดยอันดับที่หนึ่งนั้นก็ยังคงไม่มีใครมาแย่งตำแหน่งไปจาก G.O.A.T. ของวงการอย่างไมเคิล จอร์แดนได้ แต่สิ่งหนึ่งที่น่าสนใจจากการจัดอันดับครั้งนี้ก็คือ รายชื่อของผู้เล่น 12 คนที่ยังถูกโหวตให้ติดอันดับกับเขาด้วย ทั้งที่ยังคงโลดแล่นอยู่บนคอร์ทบาสของเอ็นบีเออยู่เลย โดยรายชื่อของนักบาสเหล่านั้นก็คือ

  1. เลบรอน เจมส์ อันดับ 2, แอลเอ เลเกอร์ส (ค่าเฉลี่ยต่อเกม 27.1 แต้ม 7.4 รีบาวด์ 7.4 แอสซิสต์ 1.6 สตีล)
  2. สตีเฟ่น เคอร์รี่ อันดับ 13, วอร์ริเออร์ส (ค่าเฉลี่ยต่อเกม 23.5 แต้ม 4.5 รีบาวด์ 6.6 แอสซิสต์ 1.7 สตีล)
  3. เควิน ดูแรนท์ อันดับ 14, บรูคลีน เน็ตส์ (ค่าเฉลี่ยต่อเกม 27 แต้ม 7.1 รีบาวด์ 4.1 แอสซิสต์ 1.1 สตีล)
  4. คาวาย เลียวนาร์ด อันดับ 25, แอลเอ คลิปเปอร์ส (ค่าเฉลี่ยต่อเกม 18.6 แต้ม 6.4 รีบาวด์ 2.7 แอสซิสต์ 1.8 สตีล)
  5. ดเวย์น เวด อันดับ 26, คลีฟแลนด์ คาวาเลียร์ส (ค่าเฉลี่ยต่อเกม 22 แต้ม 4.7 รีบาวด์ 5.4 แอสซิสต์ 1.5 สตีล)
  6. ยานนิส อันเทโทคูมโป อันดับ 27, มิววอกกี้ บั๊กส์ (ค่าเฉลี่ยต่อเกม 20 แต้ม 8.9 รีบาวด์ 4.3 แอสซิสต์ 1.2 สตีล)
  7. เจมส์ ฮาร์เดน อันดับ 32, ฮูสตัน ร็อคเก็ตส์ (ค่าเฉลี่ยต่อเกม 21.5 แต้ม 5.3 รีบาวด์ 6.3 แอสซิสต์ 1.6 สตีล)
  8. คริส พอล อันดับ 40, โอกลาโฮม่า ซิตี้ ธันเดอร์ส (ค่าเฉลี่ยต่อเกม 18.5 แต้ม 4.5 รีบาวด์ 9.5 แอสซิสต์ 2.2 สตีล)
  9. รัสเซลล์ เวสต์บรูค อันดับ 42, ฮูสตัน ร็อคเก็ตส์ (ค่าเฉลี่ยต่อเกม 23.2 แต้ม 7.1 รีบาวด์ 8.3 แอสซิสต์ 1.8 สตีล)
  10. อันโธนี่ เดวิส อันดับ 45, แอลเอ เลเกอร์ส (ค่าเฉลี่ยต่อเกม 24 แต้ม 10.4 รีบาวด์ 2.4 บล็อก 1.4 สตีล)
  11. วินซ์ คาร์เตอร์ อันดับ 55, แอทแลนต้า ฮอว์กส (ค่าเฉลี่ยต่อเกม 16 แต้ม 4.3 รีบาวด์ 3.1 แอสซิสต์ )
  12. เดเมียน ยิลลาร์ด อันดับ 72, ปอร์ทแลนด์ เทรลเบลเซอร์ส (ค่าเฉลี่ยต่อเกม 24 แต้ม 4.2 รีบาวด์ 6.5 แอสซิสต์ )

หากดูจากรายชื่อที่กล่าวมานี้ พวกเขาที่ถูกโหวตให้อยู่ในทำเนียบสุดยอดผู้เล่นตั้งแต่ยังคงเล่นอยู่ นั่นเท่ากับว่าพวกเขายังคงมีเวลาเก็บสถิติและกอบโกยความสำเร็จเพิ่มขึ้นไปอีก เพราะถ้าดูจากรายชื่อจะเห็นว่าผู้เล่นบางคนก็กำลังอยู่ในช่วงที่กำลังรุ่งสุดขีด บางคนก็พึ่งจะเริ่มต้นเส้นทางของพวกเขาได้ไม่นาน มันจึงน่าสนใจว่าจากนี้ไปถึงวันที่พวกเขาเลิกเล่น อันดับเหล่านี้จะถูกขยับขึ้นไปอีกมากน้อยเพียงใด

รักบี้ประเพณี ศึกแห่งศักดิ์ศรีของสุภาพบุรุษ ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของประเทศไทย



ถ้าจะพูดถึงการแข่งขันรักบี้ฟุตบอลที่โด่งดังที่สุดในประเทศไทย ทุกคนคงจะนึกไปถึงการแข่งขันรักบี้ประเพณีระหว่าง “วชิราวุธวิทยาลัย” กับ “ภ.ป.ร.ราชวิทยาลัย” อย่างแน่นอน เพราะการแข่งขันรักบี้ประเพณีของสองโรงเรียนสุภาพบุรุษชายล้วนทั้งสองแห่งนี้ ถือเป็นการแข่งขันที่มีมาอย่างยาวนาน เพื่อช่วงชิงชัยชนะที่หมายถึงการครองถ้วยพระราชทาน และศักดิ์ศรีเหนือคู่รักคู่แค้นตลอดกาล ภายใต้กฎกติกาแห่งลูกผู้ชาย

โดยการแข่งขันรักบี้ประเพณีระหว่างสองโรงเรียนชายล้วนเก่าแก่ของประเทศนี้มีมาอย่างยาวนาน โดยเริ่มมีการแข่งขันกันมาตั้งแต่ปี 2526 ตามพระประสงค์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ที่ทรงจัดตั้งโรงเรียนราชวิทยาลัยขึ้นมาใหม่ และทรงพระราชทานพระบรมราชานุญาต ให้อัญเชิญอักษรพระปรมาภิไธย ภ.ป.ร. ประกอบนามโรงเรียน และทรงมีพระราชประสงค์ให้สองโรงเรียนมีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นฉันท์พี่น้องกัน จึงถือกำเนิดการแข่งขันรักบี้ประเพณีระหว่าง วชิราวุธวิทยาลัย กับ ภ.ป.ร. ราชวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ชิงถ้วยพระราชทานพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวขึ้นนับแต่นั้นมา

จากวันนั้นถึงวันนี้บรรดาพี่น้องโรงเรียนชายล้วนทั้งสองแห่ง ขับเคี่ยวแย่งชิงความเป็นหนึ่งในวงการรักบี้มัธยมของประเทศไทยมาแล้วถึง 27 ครั้ง โดยครั้งล่าสุดเป็นทาง ภ.ป.ร. ราชวิทยาลัยสามารถเอาชนะไปได้ ซึ่งเป็นการครองแชมป์ของราชวิทย์เป็นสมัยที่ 17 จากทั้งหมดที่จัดการแข่งขันมา ส่วนวชิราวุธวิทยาลัยครองแชมป์ทั้งหมด 8 ครั้งและเสมอครองแชมป์ร่วมกัน 2 สมัย ซึ่งปกติแล้วการแข่งขันรักบี้ประเพณีชิงถ้วยพระราชทานนี้ จะจัดขึ้นทุก ๆ ปีและมีเว้นว่างไปบ้างตามความเหมาะสม โดยจัดการแข่งขันได้รับความนิยมจากคณะศิษย์เก่าและผู้คนทั่วไปจำนวนมาก จนต้องมีการจัดการแข่งขันในสนามกีฬาขนาดใหญ่ระดับชาติ อย่างสนามศุภชลาศัย หรือสนามกีฬาธูปเตมีย์อย่างในครั้งที่ผ่านมา ซึ่งนอกจากจะเป็นการเชื่อมความสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้นของสองโรงเรียนแล้ว เงินรายได้จากการแข่งขันทั้งหมดยังบริจาคให้การกุศลอีกด้วย

ถึงแม้จะเป็นการแข่งขันเพื่อกระชับความสัมพันธ์ แต่ในสนามทั้งสองทีมต่างก็ทุ่มสุดตัวแบบไม่มีใครยอมใคร ซึ่งก็นับว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้วที่ใช้กีฬาสุภาพบุรุษอย่างรักบี้เป็นเครื่องตัดสิน เพราะถึงแม้จะทุ่มสุดแรงใส่กันในการแข่งขันเพียงใด ก็เป็นเพียงแค่การใช้กำลังตามกฎกติกามารยาทของกีฬาเท่านั้น หลังจบเกมทั้งสองโรงเรียนก็คือสองโรงเรียนพี่น้องสุภาพบุรุษที่แน่นแฟ้นกันที่สุดของประเทศเช่นเดิม

การแข่งขันรักบี้ประเพณีของทั้งสองโรงเรียนนั้น นอกจากจะเป็นศึกแห่งศักดิ์ศรีของทั้งสองโรงเรียน รวมไปถึงประโยชน์ในด้านการกุศลแล้ว การแข่งขันรายการนี้นับว่าเป็นหนึ่งในรากฐานสำคัญของวงการรักบี้ประเทศไทยเลยก็ว่าได้ เพราะทั้งสองโรงเรียนถือว่าเป็นแหล่งผลิตนักกีฬารักบี้ ขึ้นสู่ทีมชาติไทยมาอย่างต่อเนื่อง ถึงแม้ว่าปัจจุบันจะมีการบรรจุกีฬารักบี้ในโรงเรียนกีฬาหรือสถาบันพละศึกษาต่าง ๆ แล้วก็ตาม แต่ทั้งสองโรงเรียนก็ยังมีนักเรียนและศิษย์เก่าก้าวไปสู่ทีมชาติได้อย่างต่อเนื่อง และด้วยความสัมพันธ์อันดีของพี่น้องทั้งสองโรงเรียน คงจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาวงการรักบี้บ้านเราไปได้อีกนานเลยทีเดียว

เฟดเอ็กซ์กับโอลิมปิกครั้งที่ 5 กับเหรียญทองที่เขาโหยหามาตลอดชีวิต



ถึงแม้ว่าการแข่งขันโอลิมปิกจะเป็นกีฬาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของมวลมนุษย์ แต่สำหรับนักกีฬาเทนนิสหลาย ๆ คนอาจจะมีการมองข้ามไป เพราะว่าการแข่งขันเทนนิสในโอลิมปิกนั้นไม่มีทั้งเงินรางวัล และคะแนนสำหรับการจัดอันดับในเทนนิสอาชีพแต่อย่างใด แต่ไม่ใช่สำหรับนักเทนนิสที่ยิ่งใหญ่คนหนึ่งของโลกอย่าง “เฟดเอ็กซ์” โรเจอร์ เฟเดอเรอร์ ที่เขาต้องการจะคว้าเหรียญทองโอลิมปิกมาครองให้ได้ เพื่อเติมเต็มความสมบูรณ์แบบให้กับเส้นทางชีวิตอาชีพนักเทนนิสของเขานั่นเอง

สำหรับโอลิมปิก โตเกียว 2020 (เลื่อนไป2021) นับเป็นโอลิมปิกครั้งที่ 5 แล้วของเฟดเอ็กซ์ เมื่อเขาลงรับใช้ทีมชาติสวิสเซอร์แลนด์มาตั้งแต่ปี 2000 ที่ซิดนีย์ ซึ่งตอนนั้นเขามีอายุเพียงแค่ 18 ปีเท่านั้นเอง และหลังจากนั้นเขาก็ลงสนามเป็นตัวแทนให้กับบ้านเกิดมาตลอด มีเพียงแค่โอลิมปิก 2016 ที่ริโอเท่านั้นที่เขาโชคร้ายได้รับอาการบาดเจ็บจนต้องถอนตัวออกจากการแข่งขัน อดทำสถิติลงเล่นโอลิมปิกติดต่อกันเป็นสมัยที่ห้าอย่างหน้าเสียดาย แต่ในการแข่งขันโอลิมปิกฉบับโตเกียวนี้ เฟดเอ็กซ์ได้กลับมาลงสนามให้กับสวิสเซอร์แลนด์อีกครั้ง ในวัย 39 ปีซึ่งถึงแม้ว่าสภาพร่างกายของเขาจะยังคงฟิตเต็มร้อย แต่ก็น่าจะเป็นครั้งสุดท้ายของเขาแล้วในมหกรรมกีฬาแห่งมวลมนุษยชาติ นั่นเท่ากับว่าความมุ่งมั่นที่เขามีต่อการคว้าเหรียญทองโอลิมปิก จะเพิ่มขึ้นมากเป็นทวีคูณอย่างแน่นอน

สำหรับเหตุผลที่เฟเดอเรอร์ต้องการจะคว้าเหรียญทองประเภทชายเดี่ยวในโอลิมปิกนั้น ก็เพราะว่าตลอดเส้นทางอาชีพนักเทนนิสผู้ยิ่งใหญ่ของเขา ที่ประสบความสำเร็จมาอย่างมากมายคว้าแชมป์เอทีพีทัวร์มาถึง 103 ครั้งกับอีก 20 แกรนด์แสลม แถมเป็นนักเทนนิสชายอันดับหนึ่งของโลกมาแล้วถึงห้าสมัย แต่รางวัลที่เขายังไม่เคยทำได้สำเร็จมีเพียงแค่เหรียญทองโอลิมปิกประเภทเดี่ยวนั้นเอง จากความพยายามทั้งหมดสี่ครั้งที่ผ่านมา ที่เจ็บปวดไปกว่านั้นเมื่อปี 2008 ที่ปักกิ่ง ท่ามกลางเครื่องหมายคำถามว่าใครเก่งที่สุดในโลกระหว่างเขากับคู่แข่งคนสำคัญอย่างราฟาเอล นาดาล แต่เฟดเอ็กซ์จบเส้นทางของเขาในรอบ 8 คนสุดท้ายหลังพ่ายให้แก่เจมส์ เบลก จากสหรัฐอเมริกา ส่วนคนที่ก้าวขึ้นไปคว้าเหรียญทองก็หาใช่ใครที่ไหน คือราฟาเอล นาดาลนั่นเอง แถมครั้งถัดมาที่ลอนดอนถึงแม้ว่าคู่แข่งอย่างนาดาลจะต้องมีอันถอนตัวจากอาการบาดเจ็บ และเฟดเอ็กซ์ก็สามารถทะลุเข้าไปถึงรอบชิง แต่ก็แพ้ให้กับเจ้าถิ่นอย่างแอนดี้ เมอร์เรย์ไปเสียอีก ถึงแม้ว่าในการแข่งขันโอลิมปิก เฟดเอ็กซ์จะมีเหรียญทองมาแล้วหนึ่งเหรียญจากการแข่งขันประเภทคู่ที่ปักกิ่ง แต่มันก็ยังไม่ใช่ความสำเร็จของเขาแต่เพียงผู้เดียว เพราะเป็นชัยชนะร่วมกันของเขากับคู่หูอย่าง สแตน วารินก้า ดังนั้นสิ่งเขาเหลือเพียงเหรียญทองประเภทชายเดี่ยวเท่านั้นที่จะเอามาเติมเต็มชีวิตนักเทนนิสของเขาให้สมบูรณ์

ในอาชีพนักเทนนิสของเขา โรเจอร์ เฟเดเรอร์เคยสัมผัสมาแล้วทุกสิ่ง ทั้งแชมป์เอทีพี แชมป์แกรนด์สแลม ตำแหน่งมือหนึ่งของโลก และเมื่อไม่นานมานี้เขาก็เบียดเมสซี่กับโรนัลโด้ สองเทพแห่งวงการฟุตบอลขึ้นไปเป็นนักกีฬาที่มีรายได้สูงที่สุดอีกด้วย ชีวิตของเขาขาดเพียงเหรียญทองโอลิมปิกชายเดี่ยวเท่านั้น จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าสำหรับโอลิมปิกที่โตเกียว “เฟดเอ็กซ์” จะทุ่มสุดตัวด้วยทุกอย่างที่เขามี เพื่อเหรียญรางวัลที่เขายังไม่เคยสัมผัส และโหยหามาตลอดชีวิตเพื่อเติมเต็มคำว่านักเทนนิสอันดับหนึ่งของโลกของเขาให้สมบูรณ์

สิงห์ปืนไว ปาดหน้าหงส์-ผี คว้าแวร์เนอร์เสริมแนวรุก



จบเรียบร้อยโรงเรียนสิงโตน้ำเงินครามไปแล้ว สำหรับการย้ายทีมของติโม แวร์เนอร์กองหน้าหนุ่มอนาคตไกลของไลป์ซิก หลังจากที่มีข่าวเชื่อมโยงกับบรรดาทีมยักษ์ใหญ่ทั่วทั้งยุโรป โดยเฉพาะสองทีมคู่รักคู่แค้นอย่างลิเวอร์พูลกับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แต่ก็ไม่มีทีมไหนตัดสินใจเด็ดขาดเสียที และทันทีที่หงส์แดงที่นักเตะมีใจให้อย่างเห็นได้ชัด ประกาศถอนตัวออกจากวงจรการแย่งตัวเขา เนื่องจากความกังวลเรื่องอนาคตของวงการฟุตบอลหลังวิกฤตการโควิด-19 ก็เป็นทางเชลซีที่ตัดสินใจทุ่มเงินถึง 47.5 ล้านปอนด์ (1900 ล้านบาท) กระชากตัวเขามาร่วมทัพทันที

สำหรับเชลซียุคสร้างทีมใหม่ภายใต้การคุมทีมของแฟรงค์ แลมพาร์ด ยังคงควานหาสุดยอดผู้เล่นเข้ามาสร้างความแข็งแกร่งให้กับทีม และหนึ่งในปัญหาที่พวกเขาให้ความสำคัญมาตลอดก็คือในแนวรุกนี่เอง เพราะในขณะนี้กองหน้าที่พวกเขามีแบ่งเป็นสองกลุ่มคือตัวเก๋าที่กำลังนับวันร่วงโรย กับบรรดาดาวรุ่งที่ยังคงต้องใช้เวลาพัฒนาฝีเท้าอีกซักหน่อย ทำให้พวกเขาต้องการกองหน้าที่จะเข้ามาเป็นกำลังหลักในชั่วโมงนี้ แบบที่เรียกว่ามาถึงแกะกล่องแล้วใช้ได้เลย ดังนั้นการคว้าตัวแวร์เนอร์จึงเป็นการเซ็นสัญญาที่ตอบโจทย์กับปัญหานี้ของพวกเขาได้ดีที่สุด

การคว้าตัวติโม แวร์เนอร์เข้ามาร่วมทีมของเชลซีนั้น แน่นอนว่าจะช่วยยกระดับความน่ากลัวให้กับเกมรุกของพวกเขาได้อย่างแน่นอน เพราะหากดูจากผลงานในปัจจุบันของแวร์เนอร์ ต้องบอกว่าผลงานของเขากับไลป์ซิกนั้นติดลมบนเลยก็ว่าได้ หากจะเทียบกันกับกองหน้าในลีกเยอรมันแล้ว เขาเป็นรองเพียงแค่โรเบิร์ต โลวานดอฟสกี้ดาวยิงเสือใต้เท่านั้นเอง ด้วยสถิติจากการลงสนาม 43 เกมของเขา กดไปถึง 32 ประตูกับอีก 13 แอสซิสต์เลยทีเดียว ซึ่งหากจะพูดในแง่ของประโยชน์ที่มีต่อทีมกับอายุการใช้งานแล้ว เขาอาจจะดูดีกว่าเลวานดอฟสกี้เสียด้วยซ้ำ เพราะอายุของแวร์เนอร์นั้นเพียงแค่ 24 ปีเท่านั้นเอง ยังสามารถพัฒนาฝีเท้าและยืนระยะเป็นกำลังหลักให้กับทีมอีกเกือบ 10 ปี และอย่าลืมว่าแวร์เนอร์นั้นไม่ใช่กองหน้าประเภทที่รอบอลแล้วจบสกอร์ แต่จุดเด่นของเขาอยู่ที่การมีทักษะที่ดีไปกับบอลได้มีความเร็วสูงปรี๊ด พาบอลทะลุทะลวงแนวรับคู่แข่งได้ด้วยตัวเอง อันเป็นคุณสมบัติของผู้เล่นในตำแหน่งปีกธรรมชาติซึ่งเป็นตำแหน่งที่เขาเล่นมาตั้งแต่เริ่มเล่นฟุตบอล และสิ่งเหล่านี้แหละจะสร้างประโยชน์ให้กับเชลซี รวมทั้งสร้างความปวดหัวให้กับกองหลังในพรีเมียร์ลีกอย่างแน่นอน

ติโม แวร์เนอร์เซ็นสัญญากับทางเชลซีเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ด้วยสัญญาถึง 5 ปี และจะย้ายมาร่วมทีมใหม่ทันทีที่บุนเดสลีกาสิ้นสุดฤดูกาล เชื่อว่าการย้ายมาร่วมทีมเชลซีของเขาครั้งนี้ จะสร้างความหวังให้กับทีมและแฟนบอลได้มากเลยทีเดียว พร้อมกันนั้นจะยกระดับการแข่งขันให้กับเวทีพรีเมียร์ลีก ให้สนุกขึ้นไปอีกอย่างแน่นอนกับการมีสุดยอดดาวยิงมาร่วมลีกอีกคนหนึ่ง รับรองเลยว่าเชลซีและติโม แวร์เนอร์จะมีอะไรมาให้แฟนบอลได้ตื่นเต้นกันอย่างแน่นอน

เครดิตภาพ : https://www.football365.com/news/frank-lampard-petr-cech-chelsea-complete-timo-werner-transfer

แอฟริกาใต้ แชมป์โลกที่ยิ่งใหญ่และมีค่า มากกว่าเพียงแค่ชัยชนะ



สำหรับการแข่งขันรักบี้ชิงแชมป์โลกฉบับโตเกียว 2019 จบลงด้วยการคว้าแชมป์อย่างสวยงามของแอฟริกาใต้ ที่พวกเขาสามารถโค่นอังกฤษคว้าแชมป์มาได้สำเร็จในนัดชิงชนะเลิศ ในการแข่งขันครั้งแรกนอกดินแดนฮาร์ทแลนด์ และเป็นการคว้าแชมป์โลกได้เป็นสมัยที่สามสำหรับพวกเขาอีกด้วย หลังเคยทำสำเร็จมาแล้วเมื่อปี 1995 บนแผ่นดินของตัวเองและปี 2007 ที่ประเทศฝรั่งเศสเป็นเจ้าภาพ

พวกเขาเข้าร่วมการแข่งขันชิงแชมป์โลกครั้งนี้ เป็นหนึ่งในสองทีมตัวแทนจากทวีปแอฟริการ่วมกับนามีเบีย โดยพวกเขาเข้ารอบมาแบบอัตโนมัติและถือเป็นหนึ่งในตัวเต็งในฐานะทีมอันดับที่ 7 ของโลก และนั่นก็ทำให้พวกเขาอยู่ในโถที่ 2 ในการจับฉลากแบ่งกลุ่ม ซึ่งผลการจัดกลุ่มก็คือพวกเขาต้องอยู่ในกลุ่มบี ร่วมกับทีมอันดับหนึ่งของโลกอย่างนิวซีแลนด์ “ออลแบล็กส์” นั่นเอง และพวกเขาก็เริ่มต้นทัวร์นาเมนท์ด้วยความพ่ายแพ้ต่อนิวซีแลนด์ แต่ก็สามารถเอาชนะได้ทั้งหมดในอีกสามเกมที่เหลือ จะสามารถพาตัวเองผ่านเข้ารอบตามนิวซีแลนด์ไปได้ในที่สุด ในรอบแปดทีมสุดท้ายพวกเขาต้องเจอกับทีมชาติเจ้าภาพอย่างญี่ปุ่นแชมป์กลุ่มเอ ซึ่งถึงแม้ว่าจะเป็นเจ้าภาพแต่ก็ต้องยอมรับว่าเป็นรองพวกเขาอยู่พอสมควร และเหล่าสปริงบอกส์ก็สามารถเอาชนะไปได้แบบขาดลอยที่ 26 จุดต่อ 3 จุด ผ่านเข้ารอบรองไปพบกับทีมชาติเวลส์ทีมอันดับ 8 ของโลกหนึ่งในทีมแกร่งจากสหราชอาณาจักร ซึ่งพวกเขาก็เบียดเอาชนะไปได้ 19 จุดต่อ 16 จุด ผ่านเข้าไปชิงกับทีมชาติอังกฤษ ที่โค่นออลแบล็กส์ทีมแกร่งที่เอาชนะพวกเขามาได้ในรอบแรก เข้ามาชิงได้อย่างเหนือความคาดหมาย แต่ก็ดูเหมือนว่าพลังทั้งหมดของอังกฤษจะถูกใช้ไปในการพิชิตออลแบล็กส์ จนทำให้แอฟริกัน สปริงบอกส์ถล่มไปขาดลอยถึง 32 จุดต่อ 12 จุดคว้าแชมป์โลกมาครองได้อย่างยิ่งใหญ่

และสำหรับทีมแอฟริกาใต้นั้นการคว้าแชมป์ครั้งนี้ มันมีความหมายมากมายกว่าการเป็นที่หนึ่งของโลกในวงการรักบี้ แต่สำหรับพวกเขากีฬาชนิดนี้เปรียบเหมือนสิ่งหล่อหลอม ปัญหาความแตกแยกทางด้านสีผิวของผู้คนภายในประเทศ โดยครั้งแรกที่พวกเขาได้ตำแหน่งแชมป์โลกเมื่อปี 1995 พวกเขาประสบปัญหาการแตกแยกระหว่างสีผิวอย่างหนัก และมหาบุรุษอย่างเนลสัน แมนเดลล่า ประธานาธิบดีผิวสีที่กำลังดำรงตำแหน่งในขณะนั้น ได้ใช้กีฬารักบี้และตำแหน่งแชมป์โลกในปีนั้น เป็นสิ่งเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างคนผิวดำและผิวขาวในประเทศ จนมาถึงทุกวันนี้ปัญหาต่าง ๆ เหล่านั้นยังคงมีอยู่ทั่วไปในแอฟริกา และภายใต้การนำทีมชุดนี้ของ “ซิย่า โคลิซี่” ซึ่งเป็นกัปตันทีมผิวสีคนแรกในประวัติศาสตร์ของพวกเขา และสามารถพาทีมคว้าแชมป์โลกมาครองได้สำเร็จ นั่นเท่ากับว่าสิ่งเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างสีผิวและชนชั้นของแอฟริกาใต้ ได้หวนกลับมาทำหน้าที่ของมันอีกครั้งหนึ่งอย่างทรงพลัง

ปัญหาการแบ่งแยกชนชั้นและสีผิว ปัญหาความขาดแคลนยากไร้ การก่อการร้ายและฆาตกรรม เป็นปัญหาที่ยังคงมีอยู่ในแอฟริกา และสำหรับสปริงบอกส์พวกเขาใช้แรงผลักดันจากปัญหาเหล่านั้น เป็นการสร้างแรงบันดาลใจไปสู่ชัยชนะ เพื่อที่หวังให้ชัยชนะ ช่วยผลักดันให้ผู้คนในสังคมก้าวผ่านปัญหาที่มีมาอย่างยาวนานนี้ได้เสียที วันนี้พวกเขาทำมันได้สำเร็จอีกครั้งในส่วนของชัยชนะ ซึ่งยิ่งใหญ่เกินกว่าเพียงคำว่าชัยชนะสำหรับการแข่งขันกีฬาทั่วไป

เครดิตภาพ : https://japan-forward.com/south-africa-conquers-england-to-win-rwc-2019-finals/